การปกครองประเทศสิงคโปร์: คุณกำลังดูกระทู้
วรวิทย์ ไชยทอง[1]
นิสิตภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
(หมายเหตุบทความนี้เขียนขึ้นเมื่อปี 2553)
ลักษณะเด่นและความสำคัญของการเมืองสิงคโปร์
ประเทศสิงคโปร์ในปัจจุบันเป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีเยี่ยม สิงคโปร์มีการปกครองในระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร มีประธานาธิบดีทำหน้าที่เชิงพิธีการเท่านั้น สิงคโปร์ได้รับการจัดตั้งให้เป็นสาธารณรัฐสิงคโปร์เมื่อ เดือน ธันวาคม 1965 สิงคโปร์รับเอาระบบประชาธิปไตยรัฐสภาของอังกฤษเป็นแม่แบบ แต่สิงคโปร์มีแต่สภาเดี่ยวไม่มีสภาคู่แบบอังกฤษ[2]
นับตั้งแต่มีการเลือกตั้งครั้งแรกหลังจากได้รับเอกราชนั้น มีเพียงพรรคการเมืองเดียวคือพรรคกิจประชา(PAP: People’ Action Party) เท่านั้น ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองในสภากว่าสามทสวรรษ โดยมีผู้นำประเทศเพียงคนเดียวคือ ลี กวน ยู ภายหลังนายลีจึงยอมลงจากตำแหน่งเพราะบริหารประเทศมานาน แล้วสืบทอดอำนาจให้คนสนิท คือโก๊ะ จ๊ก ตง ซึ่งนายลีก็มีบทบาทในการบริหารอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีอาวุโส โก๊ะ จ๊ก ตง ก็ดำเนินนโยบายในแนวทางสานต่อทางการเมืองจาก ลี กวนยู เช่นเดิม ในปัจจุบัน การเมืองการปกครองสิงคโปร์นั้นถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีระบบการเมืองที่ค่อนข้าวมีเสถียรภาพมากเป็นลำดับต้นๆของโลกเลยก็ได้ เพราะระบบการเมืองสามารถดำเนินไปได้อย่างมีระบบระเบียบ ไม่มีการแทรกแซงจากอำนาจนอกระบบเช่นการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกันเองในหลายๆประเทศ เสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลสิงคโปร์เกิดจากการที่สิงคโปร์มีรัฐบาลพรรคเดียวครองอำนาจมาเป็นเวลานานมาก ชนชั้นนำที่อยู่ในอำนาจทางการเมืองสิงคโปร์นั้นกระจุกอยู่กับกลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียว พรรค PAP.ของอดีตประธานาธิบดีสิงคโปร์มีบทบาทอย่างมากทางการเมืองตั้งแต่ยุคการเรียกร้องเอกราชจนจึงปัจจุบันที่มีนาย ลี เซียน ลุง บุตรของ นายลี กวน ยู มีอำนาจทางการเมืองจากการเลือกตั้ง
คำถามที่สำคัญในการเมืองสิงคโปร์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการเข้าใจการเมืองและความสัมพันธ์ทางอำนาจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจอื่นๆ คือทำไมคนสิงคโปร์จึงยินยอมยอมรับต่ออำนาจนำของพรรคPAP เพราะถ้าย้อนกลับไปดูหนทางทางการเมืองภายในประเทศ เราจะพบการใช้อำนาจของรัฐอย่างเด็ดขาดในการควบคุม สิทธิ เสรีภาพของพลเมืองอย่างเข้มข้น แล้วใย พลเมืองสิงคโปร์จึงนิยมในการเลือกพรรคPAP เรื่อยมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ชนชั้นนำทางการเมืองการปกครองของสิงคโปร์ใช้วิธีการเชิงรูปธรรมและนามธรรมอย่างไรในการควบคุม ครอบงำการเมืองสิงคโปร์ รวมทั้งสภาพการต่อสู้ของการเมืองในนภาคประชาสังคมของสิงคโปร์เองที่ไม่ชื่นชอบวิธีการควบคุม ครอบงำทางอำนาจ ความคิดของ ชนชั้นนำสิงคโปร์ ถึงวิธีการทั้งทางตรงและทางอ้อม ปกปิดและเปิดเผย ต่ออำนาจนำของชนชั้นนำทางการเมืองสิงคโปร์ รวมทั้งการทำความเข้าใจและเพื่อการคาดเดาอนาคตการเมืองการปกครองของสิงคโปร์
–ชาตินิยมกับการเมืองของผู้นำ ในเรื่องของชนชั้นนำในการเมืองสิงคโปร์นั้น เราจะพบว่าการเมืองสิงคโปร์ตั้งแต่การได้รับเอกราช นายลี กวน ยู ผู้นำพรรคกิจประชา(PAP) มีบทบาทอย่างมากในฐานะที่สามารถเข้ามาครองอำนาจทางการเมืองได้อย่างยาวนาน[3] ลีกวนยู นำสิงคโปร์เข้ารวมกับมาเลเซียใน การเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ แต่คนมาเลย์ค่อนข้างเหยียดหยามคนสิงคโปร์ หลังรวมกันได้สองปี ลีกวนยูก็แยกสิงคโปร์ออกจากมาเลเซียแล้วมุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี กำจัดผู้ที่คิดต่างทางการเมือง เช่น นักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้าย คอมมิวนิสต์
การทำความเข้าใจชนชั้นนำของสิงคโปร์นั้นอาจศึกษาได้แนวคิดของ Max Weber ในเรื่องการอธิบายลักษณะอำนาจชอบธรรมของชนชั้นนำสิงคโปร์ที่จะปกครอง นั้น เวเบอร์กลั่นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ออกมาเป็นตัวแบบบริสุทธิ์ของการครอบงำ สามแบบหลัก[4] คือ1.แบบจารีต (Traditional) เช่นผู้อาวุโสเป็นใหญ่ แบบพ่อปกครองลูก เป็นต้น 2.แบบบุญบารมีส่วนตัว (Charismatic) คือการที่เชื่อว่าผู้ปกครองมีความพิเศษเหนือคนธรรมดา และ 3. แบบที่ต้องอาศัยกฎหมายที่มีเหตุผล (Rational-Legal) หรือระบบการปกครองสมัยใหม่เน้นราชการเป็นตัวจักรในการดำเนินการปกครองภายใต้ขอบเขตอำนาจหน้าที่อันจำกัด มีกฎหมายกำหนด อีกหนึ่งแนวคิดที่สำคัญสำหรับชนชั้นนำทางการเมืองสิงคโปร์ คือ C.Wright Mills ที่ได้เสนอความคิดของเขาเกี่ยวกับการศึกษาชนชั้นนำทางการเมืองในหนังสือ The Power Elite[5] Mills เสนอว่าการจัดองค์กรทางสังคมในสหรัฐอเมริกานั้นจะมีแต่คนในแวดวงระดับสูง เช่นนักการเมือง ข้าราชการระดับสูง ผู้นำกองทัพ และผู้บริหารบริษัทใหญ่ๆ เป็นต้น ที่สถาปนาตนเองเป็นกลุ่มชนชั้นนำในอำนาจ และควบคุมการดำเนินงานของรัฐ คนเหล่านี้มักมาจากพื้นฐานทางสังคมและการศึกษาใกล้เคียงกัน หรือมีความสัมพันธ์ส่วนตัวมาเป็นเวลายาวนาน
ในสังคมการเมืองสิงคโปร์นั้น หลังนายลีลงจากตำแหน่งได้สืบทอดอำนาจผ่าน โก๊ะ จก ตง ลีกวนยูมีความน่าสนใจในแง่ที่ว่าเป็นผู้นำเพียงไม่กี่คนในเอเชียที่ยอมลงจากอำนาจโดยสมัครใจเมื่อถึงเวลาอันควร การเปลี่ยนตัวนายกเป็นไปอย่างราบรื่นและเรียบร้อย เนื่องจากมีการเตรียมการเป็นอย่างดีไม่ต่ำกว่า 20 ปี สำหรับการสืบทอดอำนาจจากผู้นำทางการเมืองรุ่นแรก ไปสู่ผู้นำทางการเมืองรุ่นที่สอง ลักษณะการสรรหาผู้นำทางการเมืองในสิงคโปร์นั้น พบว่า ผู้นำรุ่นอาวุโสของพรรคกิจประชาจะเสาะหาบุคคลที่มีความรู้ มีการศึกษาสูง มีความสามารถและมีความประพฤติดี เข้ามาเป็นสมาชิกพรรค[6] แล้วส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง ตลอดจนฝึกฝนสมาชิกรุ่นหลังให้ทำหน้าที่สมาชิกรัฐสภาที่ดี นายลีได้ประกาศก่อนหน้าการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึงสองปี ให้ทุกคนรู้ว่า นายโก๊ะ จก ตง จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนถัดไป[7] ชนชั้นนำในสังคมการเมืองสิงคโปร์จึงมีอำนาจอันชอบธรรมจากประชาชนจากการต่อสู้เพื่อเอกราชและการสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ อย่างมีเสถียรภาพ ความจำเป็นทางเศรษฐกิจของพลเมืองสิงคโปร์ที่ต้องการการเมืองที่มีความมั่นคง เพราะจากการเป็นชาติที่มีปัญหาจากสภาพสังคมที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ทั้งยังถูกโอบล้อมด้วยประเทศใหญ่ ชนชั้นนำทางการเมืองสิงคโปร์จึงถูกผูกขาดอำนาจอยู่เพียงคนกลุ่มเดียว
ประชาธิปไตยวิถีเอเชีย ผู้นำของสิงคโปร์คือ ลีกวนยู มีความสำคัญอย่างมากในแง่ของการกำหนด เป้าหมาย ปรัชญา อุดมการณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมือง ลีกวนยู นำเสนอแนวคิด ค่านิยมเอเชีย (Asian Values) หรือประชาธิปไตยวิถีทางเอเชีย กล่าวคือลีมองว่า ประชาธิปไตยแบบเสรีเป็นแนวคิดแบบตะวันตก ไม่เหมาะสมกับประเทศในเอเชีย[8] เพราะความแตกต่างทางสังคม วัฒนธรรม ภูมิประเทศ ดังนั้น ประชาธิปไตยเสรีจึงไม่เหมาะสมถ้าจะนำมาใช้ทั้งหมดาา
ในช่วงประมาณทศวรรษที่80 สิงคโปร์เริ่มประสบปัญหาทางวิกฤติเศรษฐกิจมากขึ้น ประชาชนเริ่มอึดอัดกับการปกครองที่ควบคุมวิถีชีวิตในทุกแง่มุม การเลือกตั้งในช่วงเวลานั้นประสบคะแนนเสียงของพรรค PAP ลดลงอย่างมาก แม้จะได้ออกแบบโครงสร้างการเลือกตั้งอย่างกีดกันพรรคฝ่ายค้านแล้วก็ตาม ชนชั้นนำทางการเมืองสิงคโปร์ในขณะนั้นจึงพยายามเสนอแนวคิด “ประชาคมนิยม” (Communitarianism) เพื่อรณรงค์เรื่องความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว และความมั่นคงของรัฐ[9] แนววคิดดังกล่าวมีองค์ประกอบหลักคือ ต้องการเชิดชูความเป็นชาติเหนือกว่าปัจเจกบุคคล สถาบันครอบครัวคือรากฐานที่แท้จริงของสังคม การสนับสนุนจารีตที่ให้ประชาชนผู้น้อยเคารพผู้ใหญ่ การตัดสินใจใดๆก็ตาม ควรเน้นการเห็นพ้องต้องกันมากกว่า การแข่งขัน การถกเถียงกัน และยังต้องสร้างความสามัคคีกันระหว่างประชาชน เพราะสิงคโปร์เป็นประเทศที่รวมกันของความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนา ประการสุดท้ายคือ พลเมืองมีหน้าที่ต้องเสียสละแก่บ้านเมือง และรัฐก็ต้องมีสวัสดิการที่ดีแก่ประชาชน อาจกล่าวได้ว่าแนวคิดดังกล่าวโดยรวมให้ความสำคัญกับเรื่องบทบาทและหน้าที่ของผู้คนในสังคม สอดคล้องกับวัฒนธรรมแบบเอเชีย เช่นแนวทางแบบขงจื้อ[10]
พรรคการเมืองเดียวครองอำนาจนำ การเลือกตั้งของสิงคโปร์ตั้งแต่ในยุคหลังการประกาศเอกราชเป็นต้นมา จนกระทั่งปัจจุบัน ไม่มีพรรคการเมืองใดในสิงคโปร์ที่จะสามารถเข้ามามีเสียงข้างมากในสภาได้ การที่สมาชิกพรรคฝ่ายตรงข้ามกับพรรค PAP จะสามารถเข้ามานั่งในสภาได้ก็นับว่าเป็นเรื่องยาก และเกิดขึ้นน้อยมากเนื่องจากการใช้อำนาจทางการเมืองของรัฐบาลเพื่อกีดกัน และความอ่อนแอในตัวพรรคและนักการเมืองฝ่ายค้านเอง[11] รวมทั้งประชาชนชาวสิงคโปร์ที่นิยมพรรค PAP เป็นอย่างมาก เสียงส่วนใหญ่ในสภาอยู่ในมือของพรรค PAP ตั้งแต่ทศวรรษที่1960 เป็นต้นมา การเลือกตั้งเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากในการเมืองระบอบประชาธิปไตย และพรรคPAP ที่ดูว่าเป็นเผด็จการ ก็มามีความชอบธรรมทางอำนาจมาจากการเลือกตั้งของประชาชน สิงคโปร์มีการเลือกตั้งตรงตามหลักเกณฑ์ประชาธิปไตย แต่เป็นการเลือกตั้งที่ผลิตนักการเมืองเข้าไปจัดการทางอำนาจของคนจากพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวเป็นตัวแทนของประชาชน Chan Heng Chee เสนอว่า ไม่ควรเรียกระบบพรรคการเมืองและการเลือกตั้งว่าเป็นระบบพรรคเด่นเพียงพรรคเดียว แต่ควรเรียกว่าพรรคการเมืองครองความเป็นจ้าว (Hegemonic Party System) มากกว่า เพราะว่าระบบแรกนั้น ในการเลือกตั้งมีการแข่งขันอย่างยุติธรรมระหว่างบรรดาพรรคการเมืองที่เข้มแข็งมีประสิทธิภาพ แต่ในระบบพรรคการเมืองครองความเป็นจ้าวนั้น เป็นการแข่งขันที่มีแต่พรรคๆเดียวที่มีโอกาสชนะ และมีความได้เปรียบพรรคการเมืองอื่นๆที่อ่อนแอกว่าอย่างมาก[12]
เสถียรภาพและความมั่นคงภายใต้ระบอบกึ่งประชาธิปไตย
การเมืองสิงคโปร์ซึ่งถูกปลูกฝังโดยชนชั้นนำทางการเมืองสิงคโปร์ที่ให้เน้นความสำคัญของส่วนรวมมากกว่าปัจเจก แนวคิดแบบปัจเจกนิยมเป็นรากฐานและผลผลิตของประชาธิปไตยแบบตะวันตก ซึ่งไม่เหมาะสมสำหรับสังคมสิงคโปร์ การเมืองสิงคโปร์จำเป็นต้องเห็นคุณค่าของส่วนรวม อีกทั้งสิงคโปร์เองเป็นดินแดนที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนา การเน้นคุณค่าของส่วนรวมจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง[13] นอกจากเรื่องความหลากหลาย ด้วยความเป็นชาติใหม่ ที่เพิ่งได้รับเอกราชและมีระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย คนสิงคโปร์จำเป็นต้องมีสำนึกเรื่องชาติสูง ไม่ต้องการให้เกิดการแบ่งแยกหรือความขัดแย้งใดๆ เพราะประเทศของตนก็เสียเปรียบจากประเทศรอบข้างอย่างมากแล้ว ดังนั้นคนสิงคโปร์ในช่วงแรกจึงเห็นว่าเสถียรภาพทางการเมืองและความมั่นคงของชาติ สำคัญมากโดยเฉพาะเมื่อต้องแข่งขันกันพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ สิงคโปร์จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งสร้างชาติให้เจริญเติบโตโดยการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เพราะเป็นทางเดียวที่ชาติเล็กๆอย่างสิงคโปร์จะก้าวขึ้นมามีอำนาจในการเมืองโลกได้
การเติบโตทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์นับว่ามีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก เนื่องจากการเมืองสิงคโปร์มีเสถียรภาพสูง คนสิงคโปร์นิยมชมชอบการเมืองแบบลีกวนยู เพราะลีกวนยูมีภาพของความสุจริต ความฉลาดเฉลียว ในการบริหารประเทศ นโยบายทางเศรษฐกิจของลี ทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจสิงคโปร์อย่างมากมาย เกิดการกระจายทางทรัพยากรอย่างทั่วถึง ด้วยหลักประชาคมนิยมนั้น ลีเห็นความสำคัญของการจัดสรรสวัสดิการแก่ประชาชนเป็นอย่างมาก แม้พื้นที่ของสิงคโปร์จะมีจำกัด แต่ลีสามารถบริหารจัดการที่อยู่อาศัย สาธารณูปโภคให้กับคนสิงคโปร์ได้อย่างดี ภายในเวลาไม่กี่ทศวรรษ สิงคโปร์กลายเป็นประเทศที่มีระบบการเมืองและการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่มีความมั่นคงมากเป็นลำดับต้นๆของโลก ว่ากันว่าคุณภาพชีวิตคนสิงคโปร์ คุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนสิงคโปร์ถือว่ามีคุณภาพดีที่สุดในลำดับต้นๆของโลกเลยทีเดียว
แน่นอนว่า สิ่งหนึ่งเกิดจากภูมิศาสตร์ทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์เองที่มีความเหมาะแก่การเป็นเมืองท่าทางการขนส่งทางทะเลเชื่อมโยงระหว่างประเทศในเอเชียกับยุโรปและอาฟริกา นอกจากนี้สิงคโปร์ยังมีความสามารถในการจัดการด้านการแลกเปลี่ยนสินค้าของภูมิภาค เป็นศูนย์กลางของเงินทุนหมุนเวียนในภูมิภาค กล่าวได้ว่าในภาคการผลิตของสิงคโปร์นั้นมีปริมาณน้อยมากเพราะสภาพทางภูมิศาสตร์ สิ่งแวดล้อม ขนาดพื้นที่ที่ไม่เอื้อต่อการลงทุนด้านปัจจัยการผลิต แต่สิงคโปร์สามารถเปลี่ยนแนวโน้มการแสวงหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจเข้าสู่ภาคบริการ และ ภาคการเงิน การลงทุน ศูนย์กลางการบริหารจัดการเป็นต้น ดังนั้นในแต่ละปี สิงคโปร์จึงสามารถทำกำไร จากการแสวงหามูลค่าดังกล่าวได้จำนวนมาก และเพียงพอต่อการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของพลเมือง
การสร้างชาติด้วยการสร้างความมั่นทางเศรษฐกิจ ภายใต้การจำกัดการแสดงออกทางการเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมืองคือสภาพสังคมสิงคโปร์ที่เกิดขึ้นมาในอดีตจนถึงปัจจุบัน รัฐบาลในอดีตใช้กลไกทางอำนาจรัฐบังคับและควบคุมความคิดทางการเมืองของพลเมืองอย่างเข้มงวด ในเชิงกระบวนการและระบบการเมืองนั้น พรรคPAP ซึ่งมีอำนาจนำทางการเมืองมาตั้งแต่แรก ได้ปรับเปลี่ยนกลไกการเลือกตั้ง หรือใช้กลวิธีนอกกฎหมาย เพื่อจัดการกับนักการเมืองฝ่ายค้าน ในด้านประชาสังคมนั้น สื่อมวลชนสิงคโปร์ถูกจำกัดการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างมาก อาจารย์ในมหาวิทยาลัยก็อาจถูกรัฐบาลจับกุมได้ถ้าแสดงการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ยุครัฐบาล ลีกวนยู และโก๊ะจ๊กตง มีการห้ามนำเสนอข่าวสารอย่างมาก เช่นการจำกัดการซื้อขายสื่อที่วิจารณ์รัฐบาล ทำลายการตลาดของสื่อที่วิพากษ์นโยบายรัฐบาล จำกัดการขายสื่อต่างประเทศบางฉบับที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลสิงคโปร์ การควบคุมทางเศรษฐกิจและทางการเมืองคือวิธีการของรัฐบาลสิงคโปร์ในการแทรกแซงการสำเสนอข่าวของสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ[14]
อำนาจเด็ดขาดของรัฐบาลต่อพลเมืองสิงคโปร์นั้น นอกจากการห้ามการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างจากรัฐบาล ยกเว้นองค์กรภาคประชาชนที่รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน [15] รัฐบาลยังใช้กลไกความรุนแรงบังคับ เช่นการใช้กฏหมายเล่นงานผู้ทีดำเนินการต่อต้านรัฐบาล เคยมีผู้ที่ถูกจับกุมจากรัฐบาลมากุมขังเป็นเวลาหลายเดือน และถูกปล่อยตัวต่อหน้าสื่อมวลชนเมื่อยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้สนับสนุนแนวทางมาร์กซิสจริง ต่อมาบุคคลเหล่านี้เปิดเผยว่าตนถูกบังคับให้สารภาพเช่นนั้นเพราะถูกกระทำการอย่างทารุณทั้งทางร่างกายและจิตใจ[16] และอีกหลายกรณีที่รัฐใช้ระบบยุติธรรมในการจัดการกับผู้ที่ดำเนินการทางการเมืองที่ต่อต้านและน่าสงสัยว่าต่อต้านต่อรัฐบาล
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์กับการก่อรูปการเมืองสิงคโปร์
เศรษฐกิจการเมืองทุนนิยมกับการเปลี่ยนแปลง สิงคโปร์เริ่มพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ในช่วงหลังการได้รับเอกราช เนื่องด้วยต้องการสร้างความเข้มแข็งของรัฐ-ชาติตน เพราะสิงคโปร์เป็นประเทศเล็กและมีปัญหาเรื่องความหลากหลายทางเชื้อชาติ สิงคโปร์จึงสร้างความเป็นชาตินิยมผ่านทางเศรษฐกิจ โดยไม่สนใจการพัฒนาทางการเมืองมากนัก การพัฒนาทางการเมืองของสิงคโปร์เน้นเฉพาะเรื่อง เชิงโครงสร้าง-หน้าที่ การเมืองเชิงสถาบัน แต่ยังบกพร่องในเรื่องการมีส่วนร่วมทางการเมือง ชนชั้นนำทางการเมืองสิงคโปร์สร้างความเป็นชาติผ่านอุดมการณ์เพื่อส่วนรวม และชี้ให้เห็นถึงความเลวร้ายของแนวคิดปัจเจกชนนิยม ทั้งยังใช้กลไกรัฐเชิงบังคับและเชิงอุดมการณ์เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกล่อมเกลาและกำจัดการเคลื่อนไหวต่อต้าน จะเห็นได้ว่าบทบาทรัฐของสิงคโปร์นั้นมีความโดดเด่นและสำคัญมาก รัฐมีบทบาทนำอย่างมากในการพัฒนาและสร้างอุดมการณ์ครอบงำการพัฒนาแบบทุนนิยม
ชนชั้นนำสิงคโปร์ต่อต้านการเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์มีการปราบปรามฝ่ายซ้ายอย่างรุนแรง ชนชั้นนำสิงคโปร์เลือกแนวทางการพัฒนาแบบทุนนิยมเสรีโดยอยู่เคียงข้างสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่ในอดีต จนถึงปัจจุบัน ในทางเศรษฐกิจนั้น ศาสตราจารย์ คุนิโอะ เสนอว่า ทุนนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่มีประสิทธิภาพ เป็นทุนนิยมเทียม เพราะ รัฐแทรกแซงอย่างไร้ประสิทธิภาพ มีเทคโนโลยีต่ำและไม่สอดรับทิศทางการพัฒนา รวมทั้งการกีดกันทางการเมืองกับเศรษฐกิจบนพื้นฐานของความต่างทางเชื้อชาติ[17] คุนิโอะเสนอว่า ไม่สามารถมองสิงคโปร์ซึ่งมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและมีความเจริญสูงมาก ว่าเป็นรูปแบบที่ถูกต้องของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศนี้ไม่ใช่แบบอย่างประเทศทุนนิยมอุตสาหกรรม เพราะนายทุนที่มีความสามารถในการผลิตส่งออกส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ สิงคโปร์ไม่สามารถสร้างระบบพลวัตรทุนนิยมของตนเองได้เพราะพึ่งทุนต่างชาติมาก แม้จะมีเทคโนโลยีดี ไม่กีดกันเรื่องเชื้อชาติ และมีการแทรกแซงระบบตลาดได้มีประสิทธิภาพกว่าหลายๆประเทศในเอเชียก็ตาม
บทบาทรัฐนำการพัฒนาในสิงคโปร์จึงมีความชัดเจนมาก เพราะรัฐบาลกลายเป็นผู้ถือหุ้นและนักลงทุนรายใหญ่ในธุรกิจต่างๆจำนวนมาก ทุนนิยมในสิงคโปร์เป็นทุนนิยมที่เสรีแต่ถูกจำกัดอย่างมากในทางการเมือง เศรษฐกิจในสิงคโปร์เป็นเศรษฐกิจที่เน้นภาคการเงินและการบริการมากกว่าภาคการผลิตที่เป็นจริง
เศรษฐกิจกับเสรีภาพในการเมืองสิงคโปร์
ในเรื่องเสรีภาพทางการเมืองกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์นั้นมีความขัดแย้งกันอย่างมาก นิยามของประชาธิปไตยในระบบเศรษฐกิจการเมืองทุนนิยมนั้น เราอาจนิยามอย่างง่ายๆได้ว่าคือ การมีการเลือกตั้งเสรี มีรัฐบาลและผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งด้วยหลักการดังกล่าว เราจะพบว่า พรรคการเมืองอย่างPAP นั้น ก็ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนชาวสิงคโปร์อย่างมาก ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ประชาธิปไตยในสิงคโปร์ยังเป็นกึ่งประชาธิปไตยอยู่นั้น เพราะ พลเมืองสิงคโปร์ยังไม่มีสิทธิเสรีภาพในการรวมตัว แสดงออก และมีช่องทางการรับข้อมูลข่าวสารอย่างหลากหลาย เสรี Barrington Moore[18] เสนอว่าชนชั้นกลางจะเป็นผู้สร้างประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม ประชาธิปไตยแบบตะวันตกมาจากการปฎิวัติของชนชั้นกลาง เมื่อเรามาย้อนดูชนชั้นกลางในประวัติศาสตร์การเมืองสิงคโปร์จนถึงปัจจุบัน เราจะพบว่า ชนชั้นกลางของสิงคโปร์นั้นก็ไม่ได้ชื่นชอบและสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยมากซักเท่าไหร่ เพราะเราจะเห็นว่าชนชั้นกลางส่วนใหญ่ในสิงคโปร์ ก็สนับสนุนอำนาจรัฐแบบเด็ดขาดโดยปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุล ในการเลือกตั้งที่ฝ่ายรัฐบาลกำหนดกฎเกณฑ์การเลือกตั้งเข้าข้างตนเอง มีการใช้ระบบกฎหมายเล่นงานฝ่ายตรงข้าม และฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล แต่ชนชั้นกลางสิงคโปร์ก็ยังเลือกพรรคPAP เข้ามาดำรงตำแหน่งอย่างท่วมท้น จนเป็นการสืบทอดอำนาจทางการเมืองอยู่เพียงชนชั้นนำทางการเมืองบางกลุ่ม นอกจากนี้เรายังจะเห็นได้ว่าชนชั้นกลางสิงคโปร์ยังเคลื่อนไหวทางการเมืองเพียงเฉพาะประโยชน์ทางเศรษฐกิจแบบคับแคบเท่านั้น
ชนชั้นกลางกับเสรีภาพในสิงคโปร์มิใช่ภาพนิ่งที่ปราศจากพลวัตรและการเปลี่ยนแปลงเสียเลย ในช่วงที่สิงคโปร์เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจนั้น ก็เกิดการเรียกร้องทางการเมืองเช่นกัน ลึกๆแล้วก็มีคนจำนวนมากเช่นกันที่อึดอับและคับแค้นใจจากการปกครองอำนาจนิยมของรัฐบาลในช่วงหลังนายลีกวนยู ลงจากตำแหน่ง นายโก๊ะจ๊กตง ซึ่งมีความก้าวหน้าทางความคิดมากกว่านายลี ก็เริ่มเห็นกระแสการไม่พอใจดังกล่าวก็ได้พยายามลดหรือป้องกันการเรียกร้องทางการเมืองจากการไม่มีอำนาจของพลเมืองในการกำหนดนโยบายรัฐ ด้วยการจัดให้มีการสำรวจความคิด รับฟังความคิดเห็น เพิ่มอำนาจและการมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นต้น เพื่อลดกระแสความรุนแรงทางการเมือง จากชนชั้นกลางหน้าใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
การต่อสู้กับอำนาจรัฐกับรัฐบาลสิงคโปร์กระทำได้ไม่ง่าย แต่กระแสความไม่พอใจกฏระเบียบทางสังคมที่เคร่งครัด เข้มงวดอย่างยิ่งนั้นย่อมก่อให้เกิดการต่อต้าน การต่อสู้กับกฎหมายที่เข้มงวดในชีวิตประจำวันของชาวสิงคโปร์เช่น การถ่ายปัสสาวะในลิฟท์ เวลาไม่มีคน ทิ้งก้นบุหรี่ ฯลฯ นี่คือตัวอย่างการต่อสู้ในชีวิตประจำวันของคนสิงคโปร์
แนวโน้มทางการเมืองในอนาคตในเรื่องการแสดงออกทางการเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของพลเมืองสิงคโปร์นั้น สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ก้าวหน้ามากขึ้น เพราะรัฐบาลไม่สามารถจำกัดการแสดงความคิดเห็นของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นในอดีต โลกยุคโลกาภิวัตน์ที่มีลักษณะไร้พรมแดนทางการสื่อสาร ได้เข้ามาจำกัดการใช้อำนาจของรัฐมากขึ้น ทั้งรัฐยังไม่สามารถสร้างวาทกรรมครอบงำได้อย่างง่ายดายเช่นเดิม เพราะกลไกการวิพากษ์วิจารณ์อำนาจเผด็จการมีอำนาจมากขึ้นทั้งโดยตรง และเปิดเผย ปกปิด และซ่อนเร้นมากขึ้นนั่นเอง
การเมืองเชิงอุดมการณ์ : การสร้างอำนาจนำของชนชั้นปกครองในสิงคโปร์
แนวคิดที่ใช้อธิบายการเมืองสิงคโปร์ที่สำคัญคือ แนวคิดของอันโตนิโอ กรัมชีเรื่องอำนาจนำ[19] คือการใช้อำนาจของกลุ่ม/ชนชั้นใดๆ เพื่อสร้างภาวะการครอบครองความคิด และมีอำนาจนำเหนือกลุ่ม/ชนชั้นอื่นๆในสังคม โดยการใช้อำนาจดังกล่าวนั้นปราศจากการใช้ความรุนแรง หรือการบังคับในเชิงกายภาพ แต่เป็นการใช้อำนาจผ่านกลไกชนิดต่างๆ เพื่อครอบครองความคิด โน้มน้าว และทำให้เกิดการยอมรับ เพื่อก่อให้เกิดขึ้นซึ่งความยินยอมพร้อมใจ และได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มพลังทางสังคมและชนชั้นต่างๆ โดยที่ผู้คนในกลุ่ม/ชนชั้นที่ถูกกระทำนั้นไม่ทราบ หรือไม่สามารถตระหนักได้ว่าตนได้ถูกครอบครองความคิดไปแล้ว
กลุ่มก้อนทางประวัติศาสตร์ครองอำนาจนำในการเมืองสิงคโปร์ กลุ่มก้อนทางอำนาจ(Power Bloc)ซึ่งนำโดยนายลีกวนยู สามารถสถาปนาทางอำนาจ เหนือกลุ่มก้อนทางอำนาจอื่นๆ เข้ามามีอำนาจทางการเมืองเหนือระบบการเมืองการปกครองของสิงคโปร์ โดยลีกวนยู ได้ทำสงครามช่วงชิงที่มั่น (War of Movement) กับสังคมการเมือง (Political Society) เพื่อกำจัดศัตรูทางการเมืองที่มีแนวคิดตรงข้าม ในช่วงแรกคือการใช้กำลัง(Coercion) กองทัพปราบปรามฝ่ายซ้าย และกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต่อต้านระบบเศรษฐกิจการเมืองในขณะนั้น ลีกวนยูครองอำนาจมาอย่างยาวนาน ชนชั้นปกครองในทัศนะของกรัมชีจะไม่สามารถดำรงในอำนาจอยู่ได้ โดยเฉพาะในรัฐสมัยใหม่ ก็ต้องทำสงครามช่วงชิงความคิด (War of Position) ในพื้นที่ของประชาสังคม (Civil Society) โดยการสร้างอุดมการณ์ทางสังคม แนวทางชาตินิยมขึ้นมาเพื่อสร้างการครองอำนาจนำทางความคิด เพื่อก่อให้เกิดความเห็นร่วมในการปกครองและการพัฒนา ให้ประชาสังคมยินยอม/ยอมรับ(Consent)ต่อการใช้อำนาจของรัฐบาล ในกระบวนการสร้างอำนาจนำของชนชั้นนำในพรรคPAP นั้น สามารถสืบทอดทางอำนาจมาอย่างยาวนานถือได้ว่า ชนชั้นนำทางการเมืองของพรรคPAP สามารถสร้างอำนาจนำทางการเมืองสิงคโปร์ได้อย่างประสบความสำเร็จ กลายเป็นกลุ่มก้อนทางประวัติศาสตร์ (Historical Bloc)ทางการเมืองสิงคโปร์แบบรัฐอำนาจนิยมนำการพัฒนา
ประชาสังคมกับการต่อต้านต่ออำนาจนำ ใช่ว่าการสร้างอำนาจนำของกลุ่มก้อนทางอำนาจดังกล่าวจากพรรคPAP ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน พื้นที่ในการสร้างอำนาจนำของชนชั้นปกครองคือพื้นที่การเมืองในภาคประชาสังคม[20] (Civil Society) จะมีแต่ความราบรื่น สามารถสถาปนาอำนาจนำในสังคมการเมืองและประชาสังคมได้อย่างสมบูรณ์ แต่ในพื้นที่ประชาสังคมนั้น เนื่องจากเป็นพื้นที่นอกภาครัฐ เป็นพื้นที่สำหรับการต่อสู้เชิงความคิด วาทกรรม ความหมาย อุดมการณ์ การช่วงชิงนิยาม การสร้างอำนาจนำมักจะมีกลุ่มพลังที่ต่อต้านต่อการสร้าง/ครองอำนาจนำ (Counter-Hegemony) ซึ่งเป็นกลุ่มที่สร้างหรือมีความคิด นิยาม ความหมาย อุดมการณ์ ที่ต่อต้านหรือแตกต่างต่ออำนาจนำในปัจจุบัน การต่อต้านดังกล่าวกระทำโดยการทำสงครามช่วงชิงพื้นที่ทางความคิดผ่านพื้นที่ภาคประชาสังคม รวมทั้งการทำสงครามช่วงชิงที่มั่น(อำนาจรัฐ) ในพื้นที่สังคมการเมืองด้วย การต่อต้านต่ออำนาจนำของรัฐบาลสิงคโปร์อาจเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาทุกโอกาส อาจจะเป็นการต่อต้านในชีวิตประจำวัน การต่อต้านในที่ทำงาน เป็นต้น เช่น การต่อต้านต่อกฎหมายที่เข้มงวดก็อาจแสดงออกผ่านการฝ่าฝืนกฎหมายเมื่อไม่มีคนเห็น เช่นการทิ้งขยะในที่ห้ามทิ้ง การเขียนประณามรัฐบาลในห้องน้ำ การแอบถ่ายในลิฟท์เป็นต้น ซึ่งกรณีเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างมากในสิงคโปร์จนกระทั่งปัจจุบัน
การต่อต้านต่ออำนาจนำในสิงคโปร์ที่น่าสนใจอาจแสดงออกมาผ่านงานศิลปะ การแสดง การละคร ภาพยนตร์ก็ได้ เช่น ในภาพยนตร์เรื่อง I NOT STUPID ที่ทำออกมาเพื่อต้องการต่อต้านต่ออำนาจการครองความคิดจิตใจของรัฐบาล ที่พยายามสร้างบรรทัดฐานทางสังคม กำหนดค่านิยมที่ถูก กำหนดทิศทางในการดำเนินชีวิต จำกัดสิทธิเสรีภาพในการเลือกและการแสดงออกต่างๆ รัฐบาลสิงคโปร์ มีบทบาทอย่างมากในการนำทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ภาพยนตร์เรื่องนี้ เค้าโครงเรื่องจึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของเสรีภาพของปัจเจก ซึ่งเป็นแนวคิดที่ต่อต้านต่อวาทกรรมเพื่อส่วนรวม เชื่อฟังอำนาจรัฐ เคารพกฎระเบียบ เน้นความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว เช่นที่เคยเป็นมา ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นภาพยนตร์ที่ขัดแย้ง/ต่อต้าน ต่ออุดมการณ์หลักของสังคม อย่างอุดมการณ์แบบประชาคมนิยมที่เกิดขึ้นในสมัย ลีกวนยู และได้เสนอ/สถาปนา ความหมายใหม่ที่เน้นความสำคัญของเสรีภาพในการคิด พูด ทำ มากขึ้น
การเมืองสิงคโปร์กับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ : นัยยะสำคัญทางการศึกษา
ชนชั้นนำทางอำนาจ ทหาร ราชการ
เราจะเห็นได้ว่าชนชั้นนำทางการเมืองของสิงคโปร์ผูกขาดอยู่กับกลุ่มคนจำนวนน้อยที่ไม่มีความแตกต่างทางอุดมการณ์ทางการเมืองและการพัฒนาทางเศรษฐกิจเลย เนื่องจากผู้นำที่มารับอำนาจต่อก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับผู้นำคนก่อนเป็นอย่างดี และยังสานต่อแนวทางการปกครองและการครอบงำทางอุดมการณ์เช่นเดิม ชนชั้นนำสิงคโปร์มีลักษณะที่เป็นเผด็จการทางการเมือง แต่มีเสรีภาพทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ จะไม่เปิดให้มีการแสดงออกหรือเรียกร้องทางการเมืองในอันที่จะมากระทบต่อสถานะและอำนาจของตน การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสิงคโปร์จึงถูกผูกขาดอยู่ในมือคนเพียงหยิบมือเดียว ชนชั้นปกครองสิงคโปร์ยังสามารถสร้างการครองความคิดจิตใจ สอดใส่อุดมการณ์และวัฒนธรรมต่อประชาสังคมสิงคโปร์อยู่เสมอเพื่อมิให้เกิดการต่อต้านและเห็นชอบ ยินยอมพร้อมใจกับการปกครอง
ชนชั้นปกครองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในแต่ละประเทศก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงและแตกต่างกันไป ตามลักษณะการเมืองแต่ละรูปแบบของแต่ละประเทศ ในพม่า ชนชั้นปกครองคือทหาร ซึ่งมีจุดเด่นในการใช้กำลังปราบปราม มากกว่าชนชั้นปกครองในสังคมที่ยอมรับต่อโครงสร้างประชาธิปไตย ดังนั้นเมื่อมีการเรียกร้องทางการเมืองที่มีพลังมากขึ้น กองทัพจึงดำเนินการปราบปรามด้วยกำลังและอาวุธ ในฟิลิปปินส์นั้น ชนชั้นนำเข้ามามีอำนาจได้ภายใต้การอำนวยประโยชนให้กับกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นอย่างเพียงพอ ชนชั้นนำอิทธิพลท้องถิ่นเป็นเส้นสายในการหล่อเลี้ยงรัฐบาลแห่งชาติ เพราะระบบราชการไม่เข้มแข็งลักษณะการใช้อำนาจก็แตกต่างกันไป ชนชั้นนำจึงสร้างอำนาจและความชอบธรรมผ่านเศรษฐกิจและอำนาจทางการเมืองเป็นหลัก ในไทยนั้นมีเครือข่ายชนชั้นนำตามจารีตแบบเก่าที่ยังคงมีอำนาจทางการเมืองอยู่ มีอิทธิพลต่อการทำการยึดอำนาจโดยตรง ในปี 2549 ชนชั้นปกครองของไทย มีความสามารถในการสร้างอำนาจนำเหนือกลุ่มพลังทางการเมืองใดๆในประเทศได้ โดยกลายมาเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของกลุ่มก้อนทางประวัติศาสตร์[21]
ในด้านการศึกษาโครงสร้างส่วนบนกับการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราจะพบว่าโครงสร้างส่วนบน เช่น สื่อ ระบบการศึกษา ศาสนา อุดมการณ์ ลัทธิการปกครอง ฯลฯ คือพื้นที่ของการสร้างการครองความคิดจิตใจ ของชนชั้นนำทางการเมือง ในสิงคโปร์ มีการห้ามการนำเสนอข่าว หรืองานวิชาการที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาล แต่รัฐบาลใช้สื่อของตนในการสร้างความชอบธรรมทางอำนาจของตน นอกจากนี้ลักษณะเด่นของการเมืองเชิงอุดมการณ์ในการเมืองสิงคโปร์คือการสร้างวาทกรรมประชาคมนิยมขึ้นมาเพื่อสร้างการครอบครองความคิดคน ผ่านโครงสร้างส่วนบนดังกล่าว
ในกรณีสังคมเผด็จการอย่าง พม่า ลาว เวียดนาม เป็นที่ชัดเจนว่ารัฐควบคุมโครงสร้างส่วนบนไว้ทั้งหมด และกำลังถูกบั่นทอนอย่างหนักจากสื่อสมัยใหม่ที่เพิ่มพื้นที่ ความหลากหลาย และความรวดเร็วในการต่อสู้ ช่วงชิงพื้นที่ทางความคิด ในสังคมกึ่งเผด็จการก็เช่นเดียวกัน คือ กัมพูชา ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย ประเทศเหล่านี้มีรัฐที่มักใช้อำนาจของตนเบี่ยงเบนกระบวนการประชาธิปไตยเสมอ โครงสร้างส่วนบนของประเทศเหล่านี้ก็คล้ายคลึงกันคือใช้ในการขัดเกลาทางอุดมการณ์และความคิดทางการเมืองเป็นให้สอดคล้องกับชนชั้นปกครองเป็นหลัก เช่นในแบบเรียนไทยที่สร้างความรู้ความเข้าใจประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกันเอง ผ่านองค์ความรู้แบบ อนุรักษ์นิยมและชาตินิยม มองประเทศอื่นๆ จากจุดยื่นอคติทางชาติของตน[22] แต่ในประเทศดังกล่าวก็นับว่ายังมีพื้นที่สำหรับการต่อสู้ต่ออำนาจนำของชนชั้นปกครองกึ่งเผด็จการอยู่มาก การเมืองในพื้นที่ประชาสังคม การเมืองเชิงอุดมการณ์ การต่อสู้เรื่องนิยาม ความหมาย จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งในการศึกษาการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในประเด็นการศึกษาเรื่องเศรษฐกิจทุนนิยมกับเสรีภาพของปัจเจกในสิงคโปร์นั้น ตรงนี้เป็นข้อสรุปที่น่าสนใจว่า ชนชั้นกลางในประเทศทุนนิยมกำลังพัฒนานั้น ไม่ใช่ผู้ที่จะชื่นชอบต่อเสรีภาพและประชาธิปไตยเสมอไป ชนชั้นกลางในสิงคโปร์ยินยอมต่ออำนาจเผด็จการและเรียกร้องในประเด็นที่คับแคบทางเศรษฐกิจเท่านั้น ตราบใดที่ไม่มีความจำเป็น หรือเกิดความรู้สึกถึงการใช้อำนาจที่มากไปจนละเลยความสามารถในการอดทนได้ ตรงนี้ทำให้การศึกษาและทำความเข้าใจทางการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ไม่สามารถละเลยประเด็นเรื่องความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับสังคมการเมืองได้ ในกรณีชนชั้นกลางในไทย ก็มีแนวโน้มความเป็นอนุรักษ์นิยมสูงและขัดต่อความก้าวหน้าเสียด้วย อาจคล้ายคลึงกับการเมืองสิงคโปร์มาก เพราะชนชั้นกลางไทยยังพอใจกับโอกาสทางเศรษฐกิจของตนอยู่ ไม่สนใจการเรียกร้องทางอำนาจการเมืองของคนระดับล่างกว่าตน และมองการเคลื่อนไหวของคนชั้นกลางระดับล่างว่าเป็น การขัดขวางต่อการพัฒนาเป็นต้น ประเด็นเรื่องเสรีภาพทางการเมืองกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจจึงเป็นความขัดแย้งที่จำเป็นในสังคมทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย การเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ยังต้องรอการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นสมัยใหม่และการพัฒนาทางการเมืองอยู่ในหลายประเทศ พลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคโลกาภิวัตน์ปัจจุบันจึงไม่ได้ผูกขาดอยู่แค่ ปัจจัยใดเพียงปัจจัยเดียว แต่เกิดจากพลวัตรทั้งสังคมในทุกระดับ
บรรณานุกรม
เก่งกิจ กิตติเรียงลาภ,เศรษฐศาสตร์การเมืองว่าด้วยการต่อสู้ทางชนชั้นในประเทษไทยจาก พ.ศ.2535 ถึง พ.ศ. 2549 : ศึกษาการขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองและการเสื่อมทางอำนาจของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย, วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐสาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2551
โคริน เฟื่องเกษม, การพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเมืองสิงคโปร์, กรุงเทพ: โครงการจัดพิมพ์คบไฟ, 2542
ใจ อึ้งภากรณ์, การเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: ข้อถกเถียงทางการเมือง, [ม.ป.ท.], 2552.
โยะชิฮะระ คุนิโอะ เขียน, รัศมิ์ดารา ขันติกุล และคณะ แปล, กำเนิดทุนนิยมเทียมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้,พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2544
วัชรพล พุทธรักษา, “ รัฐบาลทักษิณกับความพยายามสร้างภาวะการครองอำนาจนำ” , วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต (สาขาวิชาการปกครอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549.
วารุณี โอสถารมย์, แบบเรียนไทยกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “เพื่อนบ้านของเรา” ภาพสะท้อนเจตนคติอุดมการณ์ชาตินิยมไทย, ใน รัฐศาสตร์สาร, ปีที่22 ฉบับที่3 2544
หนังสือภาษาอังกฤษ
Barrington Moore, Social origins of dictatorship and democracy, Penguin: London, 1974
Chua Beng-Huat, Communitarian Ideology and Democracy in Singapore. London: Routledge,1995
Chan Heng Chee,Political Parties, in Jon S.T. Quah and other, eds, Government and Politics of Singapore, Singapore: Oxford University Press, 1987.
Frank Parkin, Max Weber, London: Routledge,2002,
Garry Rodan, Transparency and Authoritarian rule in Southeast Asia Singapore and Malaysia, London: RoutledgeCurzon, 2004,
John Eldridge, C. Wright Mills, London : Tavistock Publications,1983,
Jon S.T. Quah, Singapore Meritocratic City-State, in Government and Politics in Southeast Asia, john Funton, ed. Singapore: Institute of Southeast Asia Studies,2001
Michael D. Barr, Lee Kuan Yew The Beliefs behind the Man, Kuala Lumpur : New Asian Library,2009
Michael R.J. Vatikiotis, Political Change in Southeast Asia, London: Routledge, 1966
William Case, Politics in Sourtheast Asia : Democratic or Less, Richmond Surrey : Curzon Press, 2002
[1] นิสิตภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ; ผู้เขียนขอขอบคุณ ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ สำหรับคำแนะนำที่มีประโยชน์ และขอขอบคุณเพื่อนๆในห้องเรียนวิชาการเมืองการปกครองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีส่วนในการพูดคุย ถกเถียงและนำเสนอประเด็นปัญหาอย่างเสรี ก่อให้เกิดความรู้อย่างรอบด้านมากขึ้น
[2] โคริน เฟื่องเกษม, การพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเมืองสิงคโปร์, กรุงเทพ: โครงการจัดพิมพ์คบไฟ, 2542, 49.
[3] ดู Michael D. Barr, Lee Kuan Yew The Beliefs behind the Man, Kuala Lumpur : New Asian Library,2009.
[4] Frank Parkin, Max Weber, London: Routledge,2002, 80-89.
[5] John Eldridge, C. Wright Mills, London : Tavistock Publications, 79-89.
[6] William Case, Politics in Sourtheast Asia : Democratic or Less, Richmond Surrey : Curzon Press,2002, 86.
[7] โคริน เฟื่องเกษม, 2542,65.
[8] ใจ อึ้งภากรณ์, การเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: ข้อถกเถียงทางการเมือง, [ม.ป.ท.], 2552. 183.
[9] ดู Chua Beng-Huat, Communitarian Ideology and Democracy in Singapore. London: Routledge,1995
[10] ใจ อึ้งภากรณ์,2552. 185.
[11] Jon S.T. Quah, Singapore Meritocratic City-State, in Government and Politics in Southeast Asia, john Funton, ed. Singapore: Institute of Southeast Asia Studies,2001,305-306.
[12] Chan Heng Chee,Political Parties, in Jon S.T. Quah and other, eds, Government and Politics of Singapore, Singapore: Oxford University Press, 1987. 146.
[13] Michael R.J. Vatikiotis, Political Change in Southeast Asia, London: Routledge, 1966, 118
[14] Garry Rodan, Transparency and Authoritarian rule in Southeast Asia Singapore and Malaysia, London: RoutledgeCurzon, 2004, 47.
[15] ซึ่งส่วนมากเป็นพวกกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กลุ่มรณรงค์เคารพระเบียบวินัย เป็นต้น
[16] โคริน เฟื่องเกษม,2542 ,อ้างแล้ว,72.
[17] โยะชิฮะระ คุนิโอะ เขียน, รัศมิ์ดารา ขันติกุล และคณะ แปล, กำเนิดทุนนิยมเทียมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้,พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2544,157-168.
[18] ดู Barrington Moore, Social origins of dictatorship and democracy, Penguin: London, 1974.
[19] ดูวัชรพล พุทธรักษา, “ รัฐบาลทักษิณกับความพยายามสร้างภาวะการครองอำนาจนำ” , วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต (สาขาวิชาการปกครอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549.25.
[20] ประชาสังคมในความหมายนี้ คือพื้นที่ในการต่อสู้ทางการเมือง ทั้งหมดนอกภาครัฐ
[21] เก่งกิจ เรียกว่า “กลุ่มก้อนทางประวัติศาสตร์แบบชุมชน-ชาตินิยมที่มีพระมหากษัตริย์เป็นผู้นำ”ดู เก่งกิจ กิตติเรียงลาภ,เศรษฐศาสตร์การเมืองว่าด้วยการต่อสู้ทางชนชั้นในประเทษไทยจาก พ.ศ.2535 ถึง พ.ศ. 2549 : ศึกษาการขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองและการเสื่อมทางอำนาจของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย, วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐสาสตร์ (คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2551 ) 311.
[22] ดู วารุณี โอสถารมย์, แบบเรียนไทยกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “เพื่อนบ้านของเรา” ภาพสะท้อนเจตนคติอุดมการณ์ชาตินิยมไทย, ใน รัฐศาสตร์สาร, ปีที่22 ฉบับที่3 2544
Share this:
Like this:
Like
Loading…
Related
หลักสูตรที่สิงคโปร์เป็นยังไง ?
เด็กนักเรียนที่สิงคโปร์ ตั้งแต่ระดับประถมจนถึงมัธยมเขาเรียนกันอย่างไร ?
หลักสูตรของสิงคโปร์เป็นแตกต่างจากบ้านเรามากน้อยแค่ไหน ?
และถ้าสนใจอยากจะไปเรียนที่สิงคโปร์จะต้องเตรียมตัวอย่างไร ?
วันนี้ครูเจน จาก Preptitude จะนำข้อมูลมาแชร์กับน้อง ๆ ทุกคนกันค่ะ
ไปฟังกันเลย !
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มได้ที่
Krutoo Home Education / APSthai
สาขาสีลม : 0843201789
สาขาหลักสี่ : 0831799630
Facebook: https://www.facebook.com/apsthai
Official Line: @apsthai (มี @ ด้วยนะ)
นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม
ทำความรู้จักการเมืองพื้นฐานสิงคโปร์
วันนี้ (11 ก.ย.2558) อาจจะกล่าวได้ว่าสิงคโปร์นั้นผูกขาดทางการเมือง แต่เสรีนิยมทางเศรษฐกิจ ช่วง 5 ปี ที่ผ่านมารัฐบาลสิงคโปร์ ต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความสมดุลของการคานอำนาจในสภา
ติดตามเราได้ที่ (Subscribe) : www.youtube.com/user/ThaiPBSNews
เฟซบุ๊ค (Follow us on Facebook): www.facebook.com/ThaiPBSNews
ทวิตเตอร์ (Follow us on Twitter): www.twitter.com/ThaiPBSNews
ASEAN ตอน ประเทศสิงคโปร์ Singapore สังคมฯ ป.6
ป.6
ส 4.2
เรามาทำความรู้จักกับกลุ่มประเทศสมาชิกใน สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asian Nations : ASEAN) หรือที่เรียกกันว่า ประชาคมอาเซียน ตอนนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับ ประเทศสิงคโปร์
โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ DLIT (Distance Learning Information Technology)
http://www.dlit.ac.th
พรีเซ็นต์ การจัดการระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน การเมืองการปกครอง ประเทศ สาธารณรัฐสิงคโปร์
ประวัติ : ลีกวนยู มหาบุรุษแห่งสิงคโปร์ by CHERRYMAN
ลี กวนยู เป็นนักการเมืองชาวสิงคโปร์อีกทั้งยังเป็นนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนแรกซึ่งปกครองประเทศเป็นเวลาสามทศวรรษ เขาได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นบิดาผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์สมัยใหม่
ลีกวนยู
สิงคโปร์
นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่Wiki
ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ การปกครองประเทศสิงคโปร์